บัตรเครดิต UOB YOLO Platinum เป็นบัตรเครดิตที่เน้นเครดิตเงินคืน(Cashback) เหมาะกับคนที่ใช้ชีวิตในเมือง ชอบใช้ชีวิตให้เต็มที่และได้รับความคุ้มค่าจากการใช้จ่ายไปด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะบัตรใบนี้จะให้เครดิตเงินคืนในทุกๆการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าสุดๆด้วย
- เครดิตเงินคืน 15% กับร้านที่ร่วมรายการ
- เครดิตเงินคืน 1% สำหรับทุกการใช้จ่ายอื่นๆ
- แบ่งชำระ 0% นาน 3 เดือนสำหรับหมวดท่องเที่ยวทั้งออฟไลน์และออนไลน์
- ซื้อตั๋วหนังเครือ SF ทุกสาขา 1ฟรี1
สนใจสมัครบัตร UOB YOLO ง่ายๆผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถคลิกที่รูปโปรโมชั่นด้านล่างนี้ได้เลยครับ
YOLO แปลว่าอะไร?
YOLO เป็นตัวย่อคำสแลงภาษาอังกฤษ มาจากวลีที่ว่า “You Only Live Once” มีความหมายว่า ชีวิตเราเกิดมาครั้งเดียว ใช้ให้เต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำไปให้เต็มที่ก่อนจะสายเกินไปแล้วไม่ได้ทำ”
ซึ่งคุณสมบัติและโปรโมชั่นต่างๆของบัตร UOB YOLO Platinum ก็ออกแบบมาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนที่เพิ่งเริ่มทำงานและเริ่มมีรายได้ในระดับเริ่มต้นและก็อยากใช้ชีวิตให้เต็มที่นั่นเองครับ
แต่ในขณะเดียวกัน การใช้ชีวิตให้เต็มที่ในขณะที่ดังกล่าวก็ต้องทำให้เกิดรับความคุ้มค่าจากทุกบาทที่จ่ายออกไป ทั้งในเรื่องของการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การท่องเที่ยวและความบันเทิง
บัตรเครดิต UOB YOLO Platinum เป็นบัตรประเภทไหน
บัตรเครดิต UOB YOLO เป็นบัตรเครดิตประเภท VISA Platinum ซึ่งเป็นบัตรที่จัดอยู่ในระดับเริ่มต้นของบัตรเครดิต VISA กำหนดรายได้ขั้นต่ำของผู้สมัครไว้ที่ 15,000 บาทต่อเดือน ค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ 2,000 บาทต่อปีและสามารถขอยกเว้นค่าธรรมเนียมได้หากมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร 100,000 บาทต่อปีขึ้นไป
นั่นเท่ากับว่าในแต่ละเดือน เราควรจะต้องวางแผนใช้จ่ายผ่านบัตรใบนี้เดือนละประมาณ 8,400 บาทซึ่งก็เป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผลกับรายได้ของผู้สมัคร เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้เป็นภาระเพิ่มรายปีและยังได้สิทธิประโยชน์ของบัตรอย่างเต็มที่อีกด้วย
บัตรเครดิตจาก UOB ในระดับเดียวกันที่สามารถเป็นตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับสิทธิประโยชน์และความคุ้มค่าด้านอื่นๆให้ท่านได้ก็จะมีบัตร UOB Lady’s card และ UOB Preferred ครับ ซึ่งแต่ละใบก็จะเหมาะกับวิถีชีวิตที่ต่างกันไป
สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆและมองหาบัตรเครดิตใบแรก UOB YOLO เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆครับ ไปดูกันว่าเพราะอะไร เหมาะกับใครและทำไมถึงเหมาะที่จะเป็นบัตรเครดิตใบแรก
บัตร UOB YOLO เหมาะกับใคร
บัตรเครดิต UOB YOLO Platinum มีจุดเด่นอยู่ที่การได้รับเครดิตเงินคืนจากการใช้จ่ายผ่านบัตร แต่จะไม่มีการสะสมแต้มในบัตรเครดิต บางคนอาจจะมองว่าเป็นข้อเสีย แต่ผมว่าถือเป็นข้อดีของบัตรใบนี้เลยครับ
เพราะการเน้นแคชแบ็คอย่างเดียวไม่มีแต้มสะสมนั้นเหมาะมากกับผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้บัตรเครดิตที่ยังมีรายได้ในระดับเริ่มต้น
เนื่องจากการที่เราจะได้รับประโยชน์จากแต้มสะสมบัตรเครดิตนั้นจะต้องมียอดใช้จ่ายที่สูงพอสมควร ซึ่งจะทำให้คนที่เพิ่งเริ่มมีรายรับที่ยังไม่สูงนักวางแผนใช้บัตรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ยากมากจนอาจจะเป็นไปไม่ได้เลย
ในทางกลับกัน การวางแผนใช้จ่ายผ่านบัตรเพื่อรับเครดิตเงินคืนในแต่ละเดือนอย่างเดียวนั้นทำได้ง่ายกว่ามากๆสำหรับคนที่มีรายรับอยู่ในช่วงเริ่มต้น
แล้วถ้าในอนาคตเรามีรายได้เพิ่มขึ้น ค่อยขยับขยายยอดใช้จ่ายไปรับสิทธิประโยชน์จากการสะสมแต้มบัตรเครดิตจากบัตรในระดับสูงขึ้นไปกว่านี้ เช่น UOB Premier หรือแลกตั๋วเครื่องบินด้วยบัตร UOB Privimiles
การเลือกใช้บัตรเครดิตที่จะให้ประโยชน์กับเราได้มากที่สุดนั้น ไม่ใช่การเลือกบัตรใบที่ให้สิทธิประโยชน์ครบถ้วนหรือหลากหลายที่สุด แต่เป็นการเลือกบัตรเครดิตที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุดต่างหาก
เพราะฉะนั้น เรายังไม่ต้องไปสนใจการสะสมแต้มบัตรเพื่อแลกของ แลกไมล์สะสมหรือแลกส่วนลดในตอนนี้ แต่เน้นรับเครดิตเงินคืน(Cash Back)อย่างเดียวก่อนก็จะทำให้ลูกค้าผู้ถือบัตรได้ประโยชน์สูงสุดครับ
สนใจสมัครบัตร UOB YOLO ง่ายๆผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถคลิกที่นี่ได้เลยครับ:
>>สมัครบัตรเครดิต UOB YOLO<<
สิทธิประโยชน์ของบัตร UOB YOLO
- เครดิตเงินคืน 15% กับผู้ค้าที่ร่วมรายการ
- เครดิตเงินคืน 1% สำหรับทุกการใช้จ่าย
- แบ่งชำระสบายๆกับหมวดท่องเที่ยวและออนไลน์
- ซื้อตั๋วหนัง 1ฟรี1 ในเครือ SF
- เครดิตเงินคืนจากการเติมน้ำมัน
เครดิตเงินคืน 15% กับผู้ค้าที่ร่วมรายการ
ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต UOB YOLO Platinum จะได้รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรกับร้านค้าหรือผู้ให้บริการต่างๆตามรายชื่อดังนี้
- รถไฟฟ้า MRT
- ร้านสะดวกซื้อ 7-11
- All online by 7-11
- ร้านบูทส์(Boots) ทุกสาขายกเว้นสาขาสนามบินและพาราก้อนฟู๊ดฮอล์
- ร้านวัตสัน(Watsons) ทุกสาขาไม่รวมออนไลน์ watson.co.th
- ร้านมัทสึโมโตะ คิโยชิ(Matsumoto Kiyoshi)
- ร้านเบอร์เกอร์คิง(Burger King)
- ยกเว้นสาขา บลูพอร์ต,เดอะมอลล์บางกะปิ,เอ็มโพเรียม,เอ็มควอเทียร์,พาราก้อน,เดอะมอลล์โคราช
- Shopee
- Grab (อ่านรีวิวบัตรฯ UOB Grab คลิกที่นี่)
- Atome
โดยมีเงื่อนไขของการจะได้รับเครดิตเงินคืนสูงสูด 15% จากการใช้จ่ายคือ
- จะต้องใช้จ่ายผ่านบัตร UOB YOLO Platinum กับร้านค้าที่ใดก็ได้รวมกันให้ครบ 5 ครั้งต่อรอบบัญชี
- การใช้จ่าย 5 ครั้งในข้อแรก จะต้องมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป/ครั้ง/รอบบัญชี
- จำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุดสำหรับโปรโมชั่นนี้ที่ 200 บาท/รอบบัญชี/ผู้ถือบัตรหลัก 1 ราย
ด้วยเงื่อนไขต่างๆที่ว่ามานี้ ทำให้เราสามารถวางแผนการใช้จ่ายซื้อของใช้จำเป็นในแต่ละเดือนได้ โดยแบ่งการซื้อแต่ละครั้งออกเป็นครั้งละ 300 บาท และซื้อให้ครบ 5 ครั้ง
เพื่อที่หลังจากนั้น ในเดือนเดียวกันจะได้ซื้อของพร้อมกับรับเครดิตเงินคืน 15% จากร้านค้าที่ร่วมรายการสูงสุด 200 บาทต่อเดือน ซึ่งถ้าคำนวณย้อนหลังกลับไปจะพบว่าเป็นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรประมาณ 1,340 บาท/เดือน
ทั้งนี้ การใช้จ่ายกับร้านหรือผู้ค้าดังกล่าวจะไม่รวมการใช้จ่ายผ่านช่องทาง Rabbit Line Pay และ True Money wallet
ในปัจจุบัน ระยะเวลาโปรโมชั่นเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% กับผู้ค้าตามรายชื่อด้านบนนั้นอยู่ระหว่างวันที่ 1ม.ค ถึง 31 มิ.ย. 2567 หลังจากนั้นก็จะต้องติดตามดูกันอีกทีครับว่าจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายโปรโมชั่นนี้หรือไม่
คำถามต่อมาคือ แล้วถ้าใครไม่สะดวกที่จะใช้จ่ายผ่านบัตรครั้งละ 300 บาทให้ครบ 5 ครั้งต่อเดือน จะต้องทำยังไงถึงจะได้แคชแบ็คคุ้มๆล่ะ?
ไม่ต้องห่วงครับเพราะบัตรยูโอบีโยโล่แพลทินั่มนั้น จะให้เครดิตเงินคืน 1% ในทุกการใช้จ่าย
เครดิตเงินคืน 1% สำหรับทุกการใช้จ่าย
ลูกค้าผู้ถือบัตร UOB YOLO ที่ไม่สะดวกใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไข 300 บาท/เซลล์สลิป/รอบบัญชี เป็นจำนวณ 5 ครั้ง จะได้รับเครดิตเงินคืน 1% สำหรับทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรใบนี้ครับ
แต่จะมีข้อจำกัดนิดหน่อยว่า ยอดเครดิตเงินคืน 1% นี้ถ้ารวมกับยอดเครดิตเงินคืนในโปรโมชั่น 15% อันแรกแล้วจะต้องไม่เกิน 2,000 บาทต่อรอบบัญชีต่อผู้ถือบัตร
นั่นหมายความว่า ถ้าหากใครสามารถวางแผนใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไขเพื่อรับเครดิตเงินคืน 15% เป็นจำนวน 200 บาทได้ในตอนแรก ก็จะเหลือจำนวนเครดิตเงินคืนที่สามารถได้รับอีก 1,800 บาทต่อเดือน
แต่ในทางกลับกัน การที่จะต้องหาโอกาสใช้จ่ายผ่านบัตรครั้งละ 300 บาทให้ครบ 5 ครั้งในแต่ละรอบบัญชีอาจจะไม่สอดคล้องกับแผนการใช้จ่ายสำหรับบางคน ก็อาจจะเน้นรับเครดิตเงินคืน 1% สำหรับทุกการใช้จ่ายไปเลย ก็จะได้เครดิตเงินคืนเต็มมูลค่าสูงสุด 2,000 บาทต่อเดือน
ซึ่งวิธีการเลือกว่าเราควรจะใช้บัตร UOB YOLO เพื่อรับเงินคืนให้คุ้มที่สุดแบบไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับ จำนวนรายได้และการวางแผนใช้จ่ายรายเดือนของแต่ละคนครับ
นอกจากการทำงานหนักให้เต็มที่ และใช้เงินที่ได้มาอย่างคุ้มค่าแล้ว การได้ออกไปท่องเที่ยวพักผ่อน ได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ในแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะชีวิตเราเกิดมาครั้งเดียว ควรจะใช้ให้คุ้มในทุกมิติ ซึ่งบัตรเครดิตยูโอบีโยโล่แพลทินั่ม ก็ไม่ละเลยสิทธิประโยชน์ในด้านนี้ครับ
สนใจสมัครบัตร UOB YOLO ง่ายๆผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถคลิกที่นี่ได้เลยครับ:
>>สมัครบัตรเครดิต UOB YOLO<<
แบ่งชำระ 0% สบายๆกับหมวดท่องเที่ยวและออนไลน์
ลูกค้าผู้ถือบัตร UOB YOLO Platinum สามารถแบ่งชำระยอดใช้จ่ายในหมวดท่องเที่ยวหรือยอดใช้จ่ายออนไลน์ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือนถ้ามียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทต่อเซลล์สลิป
การมีโปรโมชั่นแบ่งชำระแบบนี้ก็ช่วยทำให้ง่ายในการวางแผนงบประมาณท่องเที่ยวในแต่ละปีของเราทำได้ง่ายขึ้นไม่เป็นภาระมากนัก อาจจะกำหนดไปเลยก็ได้ว่าปีนึงอยากเที่ยว 2-3 ครั้ง ตั้งงบไว้ครั้งละหมื่นต้นๆ
โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เราสามารถจัดทริป ซื้อที่พัก,บริการ,ตั๋วเข้าสถานที่ต่างๆ,เช่ารถ ซื้อตั๋วเครื่องบินได้พร้อมกันในครั้งเดียวกับผู้ให้บริการออนไลน์เจ้าต่างๆได้ ก็ทำให้ยอดค่าใช้จ่ายต่อเซลล์สลิปถึง 10,000 บาทได้ไม่ยาก แถมสะดวกอีกด้วย
แต่อย่างไรด็ตาม ยอดค่าใช้จ่ายหมวดท่องเที่ยวที่ลูกค้าทำรายการผ่อนชำระ 0% 3เดือนนี้จะไม่รวมอยู่ในการคำนวณยอดเครดิตเงินคืนนะครับ
สำหรับใครที่อยากจะได้สิทธิประโยชน์ในการผ่อนชำระสินค้าในหมวดแฟชั่นอย่างกระเป๋า/รองเท้า 0% นาน 6 เดือนก็แนะนำให้ลองดูบัตร UOB Lady’s Solitaire ครับ แต่จะต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 30,000 บาท/เดือน
แล้วถ้าเดือนไหนไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดไม่ได้ไปต่างประเทศล่ะ
มีโปรโมชั่นอะไรให้ใช้ใกล้ๆบ้านบ้างมั้ย?
ซื้อตั๋วหนัง 1ฟรี1
ลูกค้าผู้ถือบัตรโยโล่แพลทินั่มสามารถรับสิทธิซื้อตั๋วหนัง 1 ที่นั่ง ฟรี 1 ที่นั่งได้ที่โรงหนังในเครือ SF ครับ เพียงชำระค่าตั๋วภาพยนต์ผ่านบัตร UOB YOLO ท่านก็จะได้ดูหนังในแบบคุ้มๆแล้ว
โดยที่ตั๋วหนัง 1 ฟรี 1 นี้จะใช้ได้กับที่นั้งประเภท Deluxe ในโรงหนังระบบปกติทุกสาขา แต่จะไม่รวมสาขา Emprive’ Cineclub และสาขามัลติเพล็กซ์บิ๊กซีปราจีนบุรี รวมถึงไม่สามารถอัพเกรดที่นั่งได้ครับ
อย่างไรก็ตาม โปรโมชั่นตั๋วหนัง 1 ฟรี 1 ในเครือ SF นี้ มีการจำกัดจำนวนของลูกค้าที่มาใช้สิทธิต่อเดือนอยู่เหมือนกัน แต่จากประสบการณ์ สิทธิพิเศษต่างๆเหล่านี้ถ้าเราไปใช้ตอนต้นๆเดือนส่วนใหญ่ก็จะสามารถใช้ได้ครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าใครอยากจะใช้โปรโมชั่นนี้ก็แนะนำว่าให้วางแผนดูหนังตอนต้นเดือนนะครับ จะได้สามารถใช้สิทธิได้ทัน แต่จะไม่สามารถใช้ได้กับ Movie day หรือโปรโมชั่นต่างๆของโรงหนังถ้ามี ณ เวลาที่ลูกค้าไปใช้บริการครับ
สนใจสมัครบัตร UOB YOLO ง่ายๆผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถคลิกที่นี่ได้เลยครับ:
>>สมัครบัตรเครดิต UOB YOLO<<
เครดิตเงินคืนจากการเติมน้ำมัน
ถึงแม้จะไม่ใช่โปรโมชั่นติดบัตรมาตั้งแต่ต้น แต่บัตรเครดิต UOB YOLO Platinum ก็สามารถร่วมโปรโมชั่นรับเครดิตเงินคืนจากการเติมน้ำมันได้เหมือนบัตรอื่นๆนะครับ
ซึ่งโปรโมชั่น้ครดิตเงินคืนกับปั๊มน้ำมันของบัตร UOB YOLO จะเป็นลักษณะโปรโมชั่นตามช่วงเวลา มีช่วงระยะเวลากำหนด อาจจะครั้งละ 6 เดือนหรือครั้งละ 1 ปี แล้วแต่ทางธนาคารจะทำรายการส่งเสริมการชายออกมา
โปรโมชั่นเติมน้ำมันของบัตรยูโอบีโยโล่แพลทินั่มนั้นจะเป็นของปั๊มคาลเท็กซ์(Caltex) ซึ่งจะเป็นการรับเครดิตเงินคืนแบบไม่ต้องใช้คะแนนสะสมแลก ซึ่งดีมากๆเพราะเท่ากับว่าเราจะได้เครดิตเงินคืนมาฟรีๆเพียงแค่ใช้จ่ายให้ครบตามยอดขั้นต่ำ/เดือน
สนใจสมัครบัตร UOB YOLO ง่ายๆผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถคลิกที่นี่ได้เลยครับ:
>>สมัครบัตรเครดิต UOB YOLO<<
ข้อจำกัดของบัตรเครดิต UOB YOLO Platinum
บัตรเครดิตยูโอบีโยโล่แพลทินั่ม มีข้อจำกัดหลักๆเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ควรรู้เพื่อวางแผนการใช้จ่ายผ่านบัตร 2 ข้อดังนี้ครับ
หากดูเผินๆแล้ว การจำกัดสิทธิประโยชน์ของบัตรไว้แบบนี้อาจจะเป็นข้อเสียสำหรับบางคน แต่สำหรับ rewardinside.com เรามองว่าเป็นข้อดีที่สอดคล้องกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของตัวบัตร
ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้ลูกค้าสามารถวางแผนการใช้จ่ายผ่านบัตรเพื่อที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่เหมาะกับแผนรายรับรายจ่ายของตัวเองได้ดีขึ้นและง่ายขึ้นด้วยซ้ำ
เรามาดูกันครบว่าข้อจำกัดต่างๆมีอะไรและเราจะใช้ประโยชน์ผ่านข้อจำกัดเหล่านั้นให้เต็มที่ยังไงได้บ้าง
บัตร UOB YOLO Platinum ไม่มีคะแนนสะสมยูโอบี รีวอร์ด พลัส
ด้วยความที่เป็นบัตรเครดิตที่เน้นประโยชน์ในด้านเครดิตเงินคืนให้ลูกค้าในแต่ละเดือนจึงทำให้บัตรยูโอบี โยโล่ แพลทินั่มไม่มีการให้แต้มสะสมสำหรับการใช้จ่ายผ่านบัตร
ซึ่งการไม่มีแต้มสะสมก็ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับบัตรเครดิตแคชแบ็คทุกเจ้าในตลาดครับ อาจจะยกเว้นบาง บัตร(ในระดับเดียวกัน)ที่มีให้ทั้งแคชแบ็คและสะสมแต้มในบัตรใบเดียวกัน เช่น UOB Preferred
ในมุมมองของ rewardinside คิดว่าการที่บัตรยูโอบี โยโล่ แพลทินั่มไม่มีแต้มสะสมในบัตรนั้นถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะลูกค้าจะได้มุ่งเน้นไปที่สิทธิประโยชน์ของการรับเครดิตเงินคืนให้เต็มที่อย่างเดียวไปเลย
จริงอยู่ที่แต้มบัตรเครดิตสามารถนำไปแลกเป็นสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจได้หลายๆอย่าง เช่นส่วนลดราคาสินค้า,แลกไมล์สายการบิน,แลกคะแนนในเครือโรงแรม,เครดิตเงินคืน และอื่นๆ
แต่ในความเป็นจริง การจะนำคะแนนบัตรเครดิตไปแลกสิทธิประโยชน์เหล่านั้นให้เป็นมูลค่าที่จับต้องได้จริงๆจะต้องใช้คะแนนค่อนข้างสูงพอสมควร แปลว่ามันก็มาพร้อมกับรายจ่ายที่มากขึ้นในแต่ละเดือน
ด้วยความที่บัตรใบนี้เป็นบัตรเครดิตในระดับเริ่มต้น กำหนดรายได้ต่อเดือนของลูกค้าผู้ถือบัตรไว้ไม่สูงนัก(15,000 บาท) การจะใช้จ่ายผ่านบัตรให้มีคะแนนมากพอที่จะนำไปแลกสิทธิประโยชน์ได้นั้นอาจจะยากและใช้เวลานานกว่าที่ผู้ถือบัตรจะได้ใช้ประโยชน์จากคะแนนเหล่านั้นจริง จนอาจจะทำให้คะแนนหมดอายุไปก่อน
ดังนั้น การที่ลูกค้าเลือกใช้บัตรที่ให้เครดิตเงินคืนในแต่ละเดือนเพียงอย่างเดียวก็จะสามารถทำให้การวางแผนใช้จ่ายผ่านบัตรทำได้ง่ายขึ้น และได้ประโยชน์จากเครดิตเงินคืนอย่างเต็มที่
แล้วเมื่อเวลาผ่านไป มีอายุการทำงานมากขึ้น มีรายได้ต่อเดือนมากขึ้น ก็ค่อยขยับไปใช้บัตรเครดิตในระดับที่สูงขึ้นเพื่อรับสิทธิประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆต่อไปครับ
จำกัดยอดเครดิตเงินคืนสูงสุด
บัตรเครดิตยูโอบี โยโล่ แพลทินั่มจำกัดยอดเครดิตเงินคืนสูงสุดต่อรอบบัญชีไว้ที่ 2,000 บาท ซึ่งก็ถือว่าสอดคล้องกับระดับรายได้ขั้นต่ำของผู้สมัครบัตร รวมถึงสอดคล้องกับยอดใช้จ่ายขั้นต่ำที่จะขอยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีครับ
ยอดใช้จ่ายขั้นต่ำสำหรับยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีของบัตรยูโอบี โยโล่ แพลทินั่มคือ 100,000 บาท/ปี เฉลี่ยคร่าวๆคือเราต้องใช้จ่ายผ่านบัตร 8,340 บาท/เดือนถึงจะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
ซึ่งสำหรับลูกค้าที่มีรายได้ในระดับหมื่นห้าถึงสองหมื่นผมว่าเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลมากครับ เพราะอะไรมาลองคิดกันดูเล่นๆ
สมมุติดูว่า หากลูกค้าบัตร UOB YOLO Platinum ท่านไหนต้องการจะรับเครดิตเงินคืน 15% (สูงสุด 200 บาท/รอบบัญชี) จะต้องทำดังนี้ครับ
- วางแผนใช้จ่ายครั้งละ 300 บาทขึ้นไป ที่ไหนก็ได้ให้ครบ 5 ครั้งซึ่งอาจจะเป็นการซื้อของใช้ประจำเดือนที่ต้องใช้ประจำอยู่แล้ว เช่นเติมเงินรถไฟฟ้า MRT,เติม/จ่ายเงินค่าโทรศัพท์, อาหารสด,สบู่,ยาสีฟัน,ผ้าอนามัย,ทิชชู่ และอื่นๆ(=1,500 บาท)
- หลังจากนั้นก็จะได้รับเครดิตเงินคืนจากการใช้จ่ายผ่านบัตรในแต่ละครั้งกับผู้ค้าที่ร่วมรายการตามรายชื่อที่รีวิวไว้ด้านบน(ไม่จำเป็นต้องใช้ให้ครบ 300 บาทในแต่ละครั้ง)
ซึ่งยอดเครดิตเงินคืน15% ที่จะคืนให้ลูกค้าสูงสุดอยู่ที่ 200 บาท/รอบบัญชี คิดเป็น 15% ของยอดใช้จ่ายทั้งหมด 1,340 บาท
นั่นหมายความว่าหลังจากที่ใช้จ่ายครบ 1,500 บาทแรก(300บาทx5ครั้ง)ไปแล้ว เราควรจะใช้จ่ายผ่านบัตรกับร้านค้าที่ร่วมรายการเครดิตเงินคืนเดือนละไม่เกิน 1,340 บาท
เพราะในรอบเดือนนั้น ถ้าใช้จ่ายผ่านบัตรใบนี้มากกว่า 1,340 บาทก็จะได้เครดิตเงินคืนแค่ 200 บาทอยู่ดี (เว้นแต่ว่าถ้าวิถีชีวิตเราเป็นคนที่ซื้อของกับร้านค้าในรายชื่อที่ร่วมรายการเป็นประจำในแต่ละวันอยู่แล้วก็ใช้บริการได้เต็มที่เลย เพราะเราก็จะได้เครดิตเงินคืน 1% ต่ออีกจนกว่าจะครบ 2,000 บาท)
ซึ่งยอดใช้จ่ายในระดับพันกลางๆต่อเดือนก็ไม่ได้ยากหรือเป็นปัญหาอะไร เพราะเป็นผู้ค้าที่อุดหนุนกันประจำอยู่แล้ว เช่น รถไฟ MRT,7-11,shopee และจะซื้อของถูกหรือแพงก็ได้เพราะไม่ได้มีการกำหนดยอดใช้จ่ายขั้นต่ำในแต่ละครั้งไว้
หลังจากนั้น ถ้ามีรายการสิ่งของอะไรที่ต้องจ่ายมากกว่า 1,340 บาทนี้ในแต่ละเดือน เราจะได้รับเครดิตเงินคืน 1% จากทุกๆการใช้จ่ายผ่านบัตรจนยอดเครดิตเงินคืนทั้งหมดครบ 2,000 บาทในรอบบิลนั้น
และเนื่องจากการจำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุดรวมอยู่ที่ 2,000 บาทต่อเดือน และเราได้ใช้โปรโมชั่น 15% ไปแล้วเป็นมูลค่า 200 บาท ก็แปลว่าเราจะสามารถรับเครดิตเงินคืนสูงสุดได้อีก 1,800 บาท/เดือน
มาถึงย่อหน้านี้ รายจ่ายที่เราจะต้องวางแผนใช้จ่ายผ่านบัตรต่อเดือนจะอยู่ที่ 1,500+1,340=2,840 บาท เพื่อที่จะได้รับเครดิตเงินคืน 200 บาทในแต่ละเดือน
นั่นแปลว่าในแต่ละเดือน หากเราวางแผนการใช้จ่ายซื้อของใช้ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นดีๆในงบประมาณ 2,840 บาท เราจะได้เครดิตเงินคืนกลับมา เดือนละ 200 บาท ซึ่งคิดเป็น 7% ของรายจ่ายก้อนนี้ ไม่น้อยเลยนะครับ
และหากเราใช้จ่ายผ่านบัตรใบนี้อีกเพียงแค่ 5,500 บาท ในแต่ละเดือนเราก็จะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีให้เป็นภาระ แถมยังได้รับเครดิตเงินคืนที่เราจะไม่มีทางได้ถ้าหากเราจ่ายด้วยเงินสด
ซึ่งการใช้จ่าย 5,500 บาทนั้นสามารถทำได้โดยไม่ยากเพราะแต่ละวันก็มีค่าใช้จ่ายประจำวันอยู่แล้ว เช่นค่าอาหาร ค่ากาแฟ ขนม ค่าเดินทาง เพียงแค่เปลี่ยนจากการจ่ายเงินสดมาเป็นจ่ายผ่านบัตรก็จะได้รับสิทธิประโยชน์กลับมาในแต่ละเดือน
เงินเดือน 15,000 ใช้บัตร UOB YOLO Platinum ยังไงให้คุ้ม?
สมมุติเราเงินเดือน 15,000 บาท แล้วจัดสรรเงินมาใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเดือนละ 9,000 บาท ถ้าคิดย้อนกลับดูจะพบว่า เหลืองบที่จะใช้จ่ายได้อีกหลังจากรับเครดิตเงินคืน 15% แล้วเท่ากับ 9,000-2,840=6,160 บาท
ซึ่งทุกๆการใช้จ่าย 6,160 บาทที่เหลือนี้จะได้รับเครดิตเงินคืนอีก 1% ในทุกรอบบัญชีครับในกรณีนี้คือเครดิตเงินคืนเท่ากับประมาณ 61 บาท/รอบบัญชี อาจจะดูว่าน้อย แต่ปีนึงก็เกือบๆพันบาทนะครับ
ซึ่งถ้าเมื่อไหร่เรามีรายได้มากขึ้นและใช้จ่ายผ่านบัตรมากขึ้นเราก็จะได้เครดิตเงินคืนมากขึ้นสูงสุดถึงเดือนละ 2,000 บาท ดูยังไงก็คุ้มกว่าการจ่ายด้วยเงินสดเพราะถ้าเราจ่ายด้วยเงินสด เราจะไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย
ทำไมการจำกัดยอดเครดิตเงินคืนของ UOB YOLO Platinum ถึงไม่เป็นปัญหาล่ะ?
มาคิดดูคร่าวๆก็จะเห็นว่า ถ้าใครจะใช้จ่ายผ่านบัตรให้ได้เครดิตเงินคืน 1% เต็มที่เท่ากับ 1,800 บาท นั่นเท่ากับว่าเราจะต้องใช้จ่ายผ่านบัตรเป็นมูลค่า 180,000 บาท/รอบบัญชี
แน่นอนว่า หากใครจะจัดสรรเงินมาใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในระดับสองแสนบาทต่อเดือนแบบนี้คุณจะต้องมีรายได้สองแสนกลางๆขึ้นไปต่อเดือน
ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือ เราตั้งใจแสดงให้เห็นว่าการจำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุดไว้ที่ 2,000 บาท/รอบบัญชีนั้นแทบไม่ได้มีผลกระทบต่อลูกค้าผู้ถือบัตรเลยเพราะทางธนาคารกำหนดกลุ่มเป้าหมายลูกค้าไว้ที่เงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท
ถ้าเรามีรายได้อยู่ในระดับ 15,000-30,000 บาท/เดือน มูลค่าการใช้จ่ายของเราก็จะไม่ถึงสองแสนบาทต่อเดือนอยู่แล้ว ถูกมั้ยครับ
ดังนั้น การจำกัดยอดเครดิตเงินคืนสูงสุดไว้ที่ 2,000 บาทต่อรอบบัญชีนั้นแทบไม่มีผลเสียต่อลูกค้าเลย แถมยังเป็นผลดีด้วยซ้ำที่จะช่วยจำกัดการวางแผนใช้จ่ายไว้ในระดับที่ไม่เกินตัว
แต่ไม่ได้หมายความว่าใครถ้าใครมีรายได้สูงๆแล้วจะไม่ควรใช้บัตรใบนี้นะครับ เพราะยอดเครดิตเงินคืน1%สำหรับทุกการใช้จ่ายสามารถทำได้สูงสุดถึง 2,000 บาทต่อรอบบัญชีเลยทีเดียว
นั่นหมายความว่าเราสามารถวางแผนการใช้จ่ายผ่านบัตรใบนี้ได้จนถึงยอด 200,000 บาทต่อเดือนและก็ยังจะได้เครดิตเงินคืนอยู่ ถ้ามียอดใช้จ่ายมากกว่านี้ค่อยสลับไปใช้ใบอื่นต่อ ซึ่งยอดใช้จ่ายมากขนาดนี้สามารถเป็นไปได้เมื่อเรามีรายได้มากขึ้นในอนาคต
ค่าธรรมเนียมรายปีบัตรเครดิต UOB YOLO Platinum
บัตรเครดิตยูโอบี โยโล่ แพลทินั่มมีค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ 2,000 บาทต่อปี แต่สามารถยกเว้นได้ถ้าหากมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเป็นจำนวน 100,000 บาทต่อปีขึ้นไป(คิดเป็น 8,334 บาท/เดือน)
บัตร UOB YOLO Platinum ดีไหม?
บัตรเครดิตโยโล่ แพลทินัม เป็นบัตรที่ดีและเหมาะกับคุณหากคุณเป็นคนที่มีวิถีชีวิตดังนี้
- มีรายได้ต่อเดือน 15,000 บาทขึ้นไป
- ซื้อของกับร้านสะดวกซื้อ(7-11,Boots,Watsonและอื่นๆที่ร่วมรายการ)เป็นประจำ
- ซื้อของใช้จำเป็นประจำเดือนละประมาณ 1,500 บาท
- เดินทางกับรถไฟ MRT เป็นประจำ(ได้เครดิตเงินคืน 15%)
- ใช้บริการ/สั่งซื้อองออนไลน์(Shopee/Grab)
- ใช้จ่ายผ่านบัตรฯเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่า 8,400 บาท(ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี)
- ใช้จ่ายผ่านบัตรไม่เกินเดือนละ 200,000 บาท(เครดิตเงินคืนสูงสุด 2,000 บาท/รอบบัญชี)
สนใจสมัครบัตร UOB YOLO ง่ายๆผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถคลิกที่นี่ได้เลยครับ:
>>สมัครบัตรเครดิต UOB YOLO<<
*ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี